


วิวัฒนาการข้อสอบ SAT: จากศัพท์สุดหินสู่ยุคอนาคต พร้อมพยากรณ์แนวโน้ม
ข้อสอบ SAT (Scholastic Aptitude Test) เป็นด่านสำคัญสำหรับการศึกษาต่อที่ปรับเปลี่ยนตัวเองตามยุคสมัยมาโดยตลอด ตั้งแต่การเน้นท่องจำคำศัพท์ยากๆ ในอดีต มาสู่การวิเคราะห์เชิงลึกในปัจจุบัน และกำลังก้าวต่อไปในโลกดิจิทัลอย่างเต็มตัว บทสรุปนี้จะพาไปสำรวจวิวัฒนาการของ SAT ในแต่ละยุคสมัย โดยเน้นที่ความแตกต่างด้านคำศัพท์ ความยากง่าย การแบ่งหมวดหมู่ ค่าใช้จ่าย และพยากรณ์แนวโน้มในอนาคต
ยุค Old SAT (ก่อนปี 2016)
1. Old SAT (ก่อนปี 2005): ยุคแห่งการท่องศัพท์และตรรกะ
- การแบ่งหมวด: 2 ส่วนหลัก คือ Verbal (ภาษาอังกฤษ) และ Mathematical (คณิตศาสตร์)
- คำศัพท์และความยากง่าย:
- Verbal: ได้รับการยอมรับว่า “ยากที่สุด” ในด้านคำศัพท์ ข้อสอบเน้นทดสอบคำศัพท์ระดับสูงที่ไม่ค่อยพบเห็นในชีวิตประจำวัน ผ่านคำถามประเภท Analogies (การเปรียบเทียบความสัมพันธ์ของคู่คำ) ซึ่งแทบไม่มีบริบทให้เดา ผู้สอบจึงต้องอาศัยการท่องจำเป็นหลัก
- Math: เน้นการใช้ตรรกะและการคิดวิเคราะห์ที่รวดเร็ว ผ่านคำถาม Quantitative Comparisons (การเปรียบเทียบค่า) มากกว่าโจทย์ที่ซับซ้อน
- คะแนน: เต็ม 1600 คะแนน
- ราคา: ช่วงปลายยุคอยู่ที่ประมาณ $23 (ประมาณ 850 บาท)
2. Old SAT (ปี 2005 – ต้นปี 2016): ยุคแห่งการเขียนและการอ่านเชิงวิพากษ์
- การแบ่งหมวด: ขยายเป็น 3 ส่วน คือ Critical Reading, Mathematics, และ Writing (บังคับสอบเรียงความ)
- คำศัพท์และความยากง่าย:
- Critical Reading: ยกเลิก Analogies แต่ยังคงทดสอบคำศัพท์ยากผ่าน Sentence Completion (การเติมคำในช่องว่าง) ซึ่งเริ่มมีบริบทของประโยคช่วยมากขึ้น
- Writing: การเพิ่มส่วน Essay ที่บังคับสอบ ทำให้ทักษะการเขียนเชิงวิเคราะห์กลายเป็นความท้าทายสำคัญ
- คะแนน: คะแนนเต็มเพิ่มเป็น 2400 คะแนน
- ราคา: ปรับขึ้นเป็นประมาณ $40 – $55 (ประมาณ 1,480 – 2,035 บาท)
ยุค New SAT (ปี 2016 – 2023): ยุคแห่งการวิเคราะห์จากหลักฐาน
- ที่มา: ปรับโฉมเพื่อให้ข้อสอบสอดคล้องกับหลักสูตรมัธยมปลายและทักษะที่ใช้จริงในมหาวิทยาลัย
- การแบ่งหมวด: กลับมามี 2 ส่วนหลัก คือ Evidence-Based Reading and Writing (EBRW) และ Math ส่วน Essay กลายเป็นแบบไม่บังคับ (Optional)
- คำศัพท์และความยากง่าย:
- EBRW: ความยากของคำศัพท์ลดลงอย่างชัดเจน เน้นคำศัพท์ที่พบในบทความวิชาการและทดสอบความเข้าใจจากบริบท (Words in Context) ความยากเปลี่ยนจากการ “ท่องจำ” มาสู่การ “วิเคราะห์หลักฐาน” จากบทความเพื่อสนับสนุนคำตอบ
- Math: เน้นพีชคณิต (Algebra) และการวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analysis) มากขึ้น โจทย์ปัญหามีความยาวและซับซ้อน ต้องอาศัยการอ่านตีความร่วมด้วย
- คะแนน: กลับมาเต็ม 1600 คะแนน
- ราคา: ประมาณ $45 – $60 (ประมาณ 1,665 – 2,220 บาท) บวกค่าธรรมเนียมสำหรับนักเรียนต่างชาติ
ยุค Digital SAT (ปี 2023 เป็นต้นไป): ยุคแห่งความกระชับและเทคโนโลยี
- ที่มา: ปฏิวัติสู่รูปแบบดิจิทัลเต็มตัว เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ความปลอดภัย และความสะดวกในการสอบ
- การแบ่งหมวด: ยังคงเป็น Reading and Writing และ Math แต่สอบผ่านคอมพิวเตอร์ในรูปแบบ Adaptive Testing (ปรับระดับความยากตามความสามารถผู้สอบ)
- คำศัพท์และความยากง่าย:
- Reading and Writing: รูปแบบง่ายขึ้น บทความสั้นลงมาก (1 ย่อหน้าต่อ 1 คำถาม) ลดความเหนื่อยล้า แต่ความซับซ้อนของโจทย์และตัวเลือกยังคงท้าทายในระดับสูง
- Math: อนุญาตให้ใช้เครื่องคิดเลขได้ตลอดการสอบ พร้อมมีโปรแกรมเครื่องคิดเลขกราฟิก (Desmos) ให้ใช้ในตัว ความยากจึงไม่ได้อยู่ที่การคำนวณ แต่อยู่ที่การตีโจทย์และสร้างสมการเพื่อแก้ปัญหา
- คะแนน: เต็ม 1600 คะแนน
- ราคา (สำหรับนักเรียนต่างชาติ): ค่าสอบพื้นฐาน $68 บวกค่าธรรมเนียมศูนย์สอบต่างประเทศ $43 รวมประมาณ $111 (ประมาณ 4,090 บาท)
พยากรณ์แนวโน้มในอนาคต (Future Trends)
จากการปรับตัวอย่างต่อเนื่องของ College Board และภูมิทัศน์การศึกษาที่เปลี่ยนแปลงไป สามารถคาดการณ์แนวโน้มของ SAT ในอนาคตได้ดังนี้
- ระดับความยากง่าย:
- ความยากจะคงที่ แต่เปลี่ยนรูปแบบ: College Board จะรักษาระดับความท้าทายของข้อสอบไว้เพื่อคงมาตรฐาน แต่ความยากจะไม่ได้มาจากการท่องศัพท์อีกต่อไป แต่จะมาจากการ วิเคราะห์ข้อมูลที่ซับซ้อน การแก้ปัญหาหลายขั้นตอน และการใช้เหตุผลเชิงตรรกะ ในส่วน Reading and Writing อาจมีโจทย์ที่ต้องเปรียบเทียบข้อมูลจากหลายแหล่ง (เช่น กราฟกับบทความสั้นๆ) ส่วน Math โจทย์อาจจะสั้นลงแต่ต้องการการประยุกต์ใช้หลายแนวคิดในการแก้ปัญหาเดียว
- Adaptive Testing จะฉลาดขึ้น: อัลกอริทึมของระบบ Adaptive จะถูกพัฒนาให้แม่นยำยิ่งขึ้น สามารถจำแนกระดับความสามารถของผู้สอบได้ละเอียดอ่อนกว่าเดิม ทำให้คะแนนสะท้อนความสามารถที่แท้จริงได้ดีขึ้น และอาจทำให้การ “ฟลุ๊ค” ทำคะแนนได้สูงๆ เกิดขึ้นได้ยาก
- การแบ่งหมวดหมู่:
- โครงสร้างหลักจะยังคงเดิมในระยะสั้น: รูปแบบ 2 ส่วน (Reading & Writing และ Math) จะยังคงเป็นมาตรฐานต่อไปในอีกหลายปีข้างหน้า เนื่องจากเป็นโครงสร้างที่สมดุลและเพิ่งมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่มา
- อาจมีการเพิ่มทักษะใหม่ในระยะยาว: ในอนาคต (5-10 ปีข้างหน้า) อาจมีการพิจารณาเพิ่มส่วนที่ทดสอบทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 เข้ามา เช่น การประเมินความน่าเชื่อถือของข้อมูล (Digital Literacy) หรือการแก้ปัญหาแบบปลายเปิด (Open-ended Problem Solving) ในรูปแบบคำถามที่ไม่ใช่ปรนัย แต่อาจจะยังอยู่ในขั้นตอนการวิจัยและพัฒนา
- ค่าใช้จ่ายในการสอบ:
- แนวโน้มขาขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป: เช่นเดียวกับค่าครองชีพและต้นทุนการจัดการอื่นๆ ค่าสอบ SAT มีแนวโน้มที่จะปรับตัวสูงขึ้นทุกๆ 1-2 ปี โดยอาจเพิ่มขึ้นครั้งละ $3-$5 เพื่อให้สอดคล้องกับภาวะเงินเฟ้อและต้นทุนการพัฒนาระบบดิจิทัล
- ค่าธรรมเนียมอาจหลากหลายขึ้น: อาจมีการนำเสนอค่าบริการเสริมต่างๆ (Optional Fees) เพิ่มขึ้น เช่น บริการส่งคะแนนด่วนพิเศษ หรือบริการวิเคราะห์ผลคะแนนเชิงลึก ซึ่งจะทำให้ผู้สอบมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมตามความสมัครใจ
บทสรุป: วิวัฒนาการของ SAT คือภาพสะท้อนของการศึกษาที่เปลี่ยนจาก “การท่องจำความรู้” มาสู่ “การประยุกต์ใช้ทักษะ” และในอนาคตอันใกล้ ข้อสอบจะยิ่งเน้นการวัดผลที่รวดเร็ว แม่นยำ และสอดคล้องกับโลกดิจิทัลมากขึ้น ผู้เตรียมตัวสอบจึงต้องปรับกลยุทธ์จากการท่องศัพท์ปริมาณมหาศาล มาเป็นการฝึกฝนทักษะการคิดวิเคราะห์ การตีความข้อมูล และการแก้ปัญหาที่ซับซ้อนภายใต้รูปแบบการสอบที่ทันสมัยและท้าทายยิ่งขึ้น
สรุปคะแนน SAT สำหรับคณะ BBA จุฬาฯ (อ้างอิงข้อมูลปีล่าสุด TCAS67)
คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (หลักสูตรบริหารธุรกิจบัณฑิต BBA) เป็นหนึ่งในคณะที่มีการแข่งขันสูงที่สุดในประเทศไทย สำหรับนักเรียนที่ใช้คะแนน SAT ในการยื่นสมัคร การมีคะแนนที่สูงกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง
ตารางด้านล่างนี้สรุปช่วงคะแนน SAT ทั้งในส่วนของภาษาอังกฤษ (EBRW) และคณิตศาสตร์ (Math) โดยแบ่งเป็น คะแนนขั้นต่ำที่สามารถยื่นได้ และ คะแนนที่ควรทำให้ได้เพื่อเพิ่มโอกาสในการติด (Competitive/Safe Score) ซึ่งเป็นช่วงคะแนนของนักเรียนส่วนใหญ่ที่ผ่านการคัดเลือกในรอบที่ผ่านมา
ระดับคะแนน (Score Level) | SAT – อังกฤษ (EBRW) | SAT – คณิตศาสตร์ (Math) | คะแนนรวม (Total) | คำอธิบาย |
เกณฑ์ขั้นต่ำ (Minimum Req.) | ≥ 600 | ≥ 660 | ≥ 1290 | เป็นคะแนน “ขั้นต่ำสุด” ที่ใช้ในการยื่นสมัคร หากคะแนนส่วนใดส่วนหนึ่งหรือคะแนนรวมต่ำกว่านี้ จะไม่ผ่านคุณสมบัติทันที |
คะแนนที่ควรได้ลุ้น (Competitive) | 650 – 690 | 750 – 780 | 1400 – 1470 | เป็นช่วงคะแนนที่ผู้สมัครส่วนใหญ่ยื่นกัน มีโอกาสถูกเรียกสัมภาษณ์ แต่ยังต้องลุ้นผลในวันประกาศจริง |
คะแนนค่อนข้างปลอดภัย (Safe Score) | 700+ | 780 – 800 | 1480+ | เป็นช่วงคะแนนที่เพิ่มโอกาสติดสูงมาก ผู้ที่ได้คะแนนในระดับนี้มักจะผ่านการคัดเลือกและถูกเรียกสัมภาษณ์อย่างแน่นอน |
ส่งออกไปยังชีต
ข้อสังเกตและคำแนะนำเพิ่มเติม:
- คณิตศาสตร์ต้องเกือบเต็ม: จะเห็นได้ว่านักเรียนที่สอบติด BBA จุฬาฯ ส่วนใหญ่ได้คะแนน SAT Math ในระดับที่สูงมาก (780-800) ดังนั้นคะแนนในส่วนนี้จึงเป็นเหมือน “คะแนนบังคับ” ที่ต้องทำให้ได้เกือบเต็มเพื่อที่จะสามารถแข่งขันกับคนอื่นได้
- อังกฤษคือตัวตัดสิน: เนื่องจากผู้สมัครส่วนใหญ่มีคะแนนคณิตศาสตร์ที่สูงใกล้เคียงกัน คะแนนในส่วนของภาษาอังกฤษ (EBRW) จึงมักจะเป็น ตัวตัดสิน (Key Differentiator) ที่สำคัญ ผู้ที่ได้ EBRW เกิน 700 ขึ้นไป จะมีความได้เปรียบอย่างมาก
- การแข่งขันในแต่ละปีไม่เท่ากัน: คะแนนข้างต้นเป็นเพียงข้อมูลอ้างอิงจากสถิติในปีก่อนหน้า การแข่งขันและความยากง่ายของข้อสอบในแต่ละปีอาจส่งผลให้ช่วงคะแนนที่ปลอดภัยมีการเปลี่ยนแปลงได้เล็กน้อย
ดังนั้น สำหรับผู้ที่ตั้งเป้าหมายอยากเข้าศึกษาต่อที่ BBA จุฬาฯ ควรวางแผนทำคะแนน SAT รวมให้สูงกว่า 1480 ขึ้นไป โดยเน้นทำคะแนนคณิตศาสตร์ให้เต็มหรือเกือบเต็ม และทำคะแนนภาษาอังกฤษให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อสร้างโอกาสให้ตัวเองเหนือกว่าคู่แข่งครับ
นอกจากนี้ยังเป็นที่น่าสนใจศึกษา เปรียบเทียบคณะและสาขาที่สำคัญดังนี้
ตารางเปรียบเทียบคะแนน SAT 4 คณะอินเตอร์ยอดนิยม (BBA, LLB, BAScii, BIR)
นอกเหนือจาก BBA จุฬาฯ แล้ว ยังมีหลักสูตรนานาชาติอีกหลายสาขาที่ได้รับความนิยมอย่างสูงจากนักเรียน ได้แก่ นิติศาสตรบัณฑิต (LL.B. จุฬาฯ), ศิลปศาสตรและวิทยาศาสตรบัณฑิตในนวัตกรรมบูรณาการ (BAScii จุฬาฯ) และการเมืองระหว่างประเทศ (BIR ธรรมศาสตร์) ซึ่งแต่ละคณะมีเกณฑ์การรับและสัดส่วนการพิจารณาคะแนน SAT ที่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ
ตารางด้านล่างนี้ได้รวบรวมและเปรียบเทียบช่วงคะแนน SAT ทั้งเกณฑ์ขั้นต่ำ และคะแนนที่ควรทำให้ได้เพื่อเพิ่มโอกาสในการติด (Competitive/Safe Score) ของทั้ง 4 คณะยอดนิยม โดยแยกตามหมวดภาษาอังกฤษ (EBRW) และคณิตศาสตร์ (Math) เพื่อให้เห็นภาพรวมการแข่งขันและสามารถวางแผนการเตรียมตัวได้อย่างตรงจุด
ตารางเปรียบเทียบคะแนน SAT (อ้างอิงข้อมูลปีล่าสุด TCAS67/68)
คณะ (Program) | มหาวิทยาลัย | ระดับคะแนน | SAT – อังกฤษ (EBRW) | SAT – คณิตศาสตร์ (Math) | คะแนนรวม (Total) |
BBA <br> (บริหารธุรกิจ) | จุฬาฯ | เกณฑ์ขั้นต่ำ | ≥ 600 | ≥ 660 | ≥ 1290 |
คะแนนปลอดภัย | 700+ | 780 – 800 | 1480+ | ||
— | — | — | — | — | — |
LLB <br> (นิติศาสตร์ธุรกิจฯ) | จุฬาฯ | เกณฑ์ขั้นต่ำ | ≥ 500 | ไม่กำหนด | ≥ 1200 |
คะแนนปลอดภัย | 680+ | 700+ | 1400+ | ||
— | — | — | — | — | — |
BAScii <br> (นวัตกรรมบูรณาการ) | จุฬาฯ | เกณฑ์ขั้นต่ำ | ≥ 500 | ≥ 640 | ≥ 1300 |
คะแนนปลอดภัย | 680+ | 750+ | 1430+ | ||
— | — | — | — | — | — |
BIR <br> (การเมืองระหว่างประเทศ) | ธรรมศาสตร์ | เกณฑ์ขั้นต่ำ¹ | ≥ 400 | ไม่กำหนด | ไม่กำหนด |
คะแนนปลอดภัย | 650+ | ไม่เน้น | ~1250+ |
ส่งออกไปยังชีต
บทวิเคราะห์และข้อสังเกตสำคัญ:
- BBA (จุฬาฯ): สมรภูมิคะแนนคณิตศาสตร์
- จุดแข็ง: เน้นคะแนน Math อย่างที่สุด ผู้สมัครส่วนใหญ่ได้คะแนนส่วนนี้เกือบเต็ม
- ตัวตัดสิน: คะแนน EBRW จะเป็นตัวสร้างความแตกต่างและชี้วัดโอกาสในการติด
- LLB (จุฬาฯ): สายกฎหมายที่ต้องการภาษาอังกฤษเป็นเลิศ
- จุดแข็ง: ให้ความสำคัญกับคะแนน EBRW สูงมากตามธรรมชาติของสาขาวิชาที่ต้องอ่านและตีความกฎหมาย
- คำแนะนำ: แม้เกณฑ์ขั้นต่ำรวมจะไม่สูงเท่า BBA แต่คะแนนในกลุ่มที่ติดจริงนั้นสูงมาก โดยเฉพาะคะแนนฝั่งภาษาอังกฤษ
- BAScii (จุฬาฯ): ต้องการความสามารถรอบด้าน (All-Rounder)
- จุดแข็ง: เป็นคณะที่ต้องการคะแนนสูงและสมดุลทั้ง Math และ EBRW สะท้อนถึงการเรียนที่ผสมผสานทั้งศาสตร์และศิลป์
- ปัจจัยอื่น: นอกจากคะแนน SAT แล้ว Portfolio และการสอบสัมภาษณ์ มีน้ำหนักในการคัดเลือกสูงมาก
- BIR (ธรรมศาสตร์): เน้นทักษะทางภาษาและสังคมศาสตร์
- จุดแข็ง: เน้นคะแนน EBRW เป็นหลัก อย่างชัดเจน และเป็นคณะเดียวในกลุ่มนี้ที่ไม่กำหนดเกณฑ์ขั้นต่ำของคะแนน Math
- คำแนะนำ: ผู้สมัครควรทุ่มเทเพื่อทำคะแนน EBRW ให้สูงที่สุดเท่าที่จะทำได้ ส่วนคะแนน Math แม้ไม่มีขั้นต่ำ แต่การมีคะแนนที่ดีก็จะช่วยดึงคะแนนรวมให้สูงขึ้นได้
¹ หมายเหตุสำหรับ BIR: เกณฑ์การรับของ BIR มีหลายรูปแบบและหลายรอบ ในบางรอบอาจกำหนดคะแนนรวมขั้นต่ำ (เช่น 1200) และ EBRW ขั้นต่ำ (เช่น 550) แต่โดยรวมแล้วน้ำหนักจะอยู่ที่คะแนนฝั่งภาษาอังกฤษเป็นสำคัญ ผู้สมัครควรตรวจสอบระเบียบการของรอบที่ตนเองสนใจอีกครั้ง
BBA จุฬาฯ นั้นมีการแข่งขันที่สูงมากจนเรียกได้ว่าเป็น “คณะแห่งดวงดาว” สำหรับผู้ใช้คะแนน SAT จริงๆ ครับ แต่คณะเศรษฐศาสตรบัณฑิต (หลักสูตรนานาชาติ) หรือ EBA จุฬาฯ ก็เป็นอีกหนึ่งคณะที่ยอดเยี่ยม มีชื่อเสียง และเป็นเป้าหมายหลักของนักเรียนหัวกะทิเช่นกัน
การเปรียบเทียบระหว่างสองคณะนี้จะช่วยให้นักเรียนสามารถวางแผนและประเมินคะแนนของตนเองได้อย่างมีกลยุทธ์มากขึ้น
ตารางเปรียบเทียบคะแนน SAT ระหว่าง BBA และ EBA จุฬาฯ
ตารางนี้จะสรุปช่วงคะแนนที่ใช้ในการยื่นสมัคร โดยแบ่งตามเกณฑ์ขั้นต่ำและช่วงคะแนนที่แข่งขันได้จริง เพื่อให้เห็นภาพความแตกต่างของทั้งสองคณะอย่างชัดเจน
คณะ (Program) | ระดับคะแนน (Score Level) | SAT – อังกฤษ (EBRW) | SAT – คณิตศาสตร์ (Math) | คะแนนรวม (Total) |
BBA <br> (บริหารธุรกิจ) | เกณฑ์ขั้นต่ำ | ≥ 600 | ≥ 660 | ≥ 1290 |
คะแนนปลอดภัย | 700+ | 780 – 800 | 1480+ | |
— | — | — | — | — |
EBA <br> (เศรษฐศาสตร์) | เกณฑ์ขั้นต่ำ | ≥ 550 | ≥ 650 | ≥ 1270 |
คะแนนปลอดภัย | 680+ | 750 – 780 | 1430+ |
บทวิเคราะห์และข้อแตกต่างที่สำคัญ
แม้ว่าทั้งสองคณะจะอยู่ในกลุ่มที่มีการแข่งขันสูง แต่ก็มี “โปรไฟล์” ของคะแนนที่ต้องการแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ:
- สมรภูมิคะแนนคณิตศาสตร์ (Math Score Battleground):
- BBA: ต้องการคะแนนคณิตศาสตร์ในระดับที่ “เกือบสมบูรณ์แบบ” (780-800) อย่างแท้จริง การได้คะแนน Math ต่ำกว่า 780 ถือว่าเสียเปรียบคู่แข่งอย่างมาก
- EBA: ยังคงต้องการคะแนนคณิตศาสตร์ที่ “แข็งแกร่งมาก” เพราะเศรษฐศาสตร์เป็นวิชาที่ใช้การคำนวณและแบบจำลองทางคณิตศาสตร์สูง แต่ก็ยังมีความยืดหยุ่นมากกว่า BBA คะแนนในช่วง 750-770 ยังถือว่าแข่งขันได้สูงหากคะแนนภาษาอังกฤษดีเยี่ยม
- บทบาทของคะแนนภาษาอังกฤษ (Role of EBRW Score):
- BBA: คะแนน EBRW ที่สูง (700+) ทำหน้าที่เป็น “ตัวตัดสิน” (Differentiator) ที่จะทำให้คุณโดดเด่นขึ้นมาจากกลุ่มผู้สมัครที่ได้คะแนน Math เต็มหรือเกือบเต็มเหมือนกัน
- EBA: คะแนน EBRW ที่สูง (680+) นอกจากจะเป็นตัวตัดสินแล้ว ยังสามารถทำหน้าที่ “ชดเชย” (Compensator) ได้ในกรณีที่คะแนน Math ไม่ได้สูงถึงระดับ 780+ การมีคะแนน EBRW ที่ดีเยี่ยมจะช่วยดึงโปรไฟล์โดยรวมให้น่าสนใจอย่างมาก
สรุปในเชิงกลยุทธ์:
- หากคุณเป็นนักเรียนที่มีจุดแข็งด้านคณิตศาสตร์อย่างหาตัวจับยาก และสามารถทำคะแนน Math ได้ 780 ขึ้นไปอย่างสม่ำเสมอ BBA คือเป้าหมายหลัก ที่คุณควรทุ่มเทเพื่อทำคะแนน EBRW ให้สูงที่สุด
- หากคุณเป็นนักเรียนที่เก่งรอบด้าน มีคะแนนทั้ง Math และ EBRW ที่สูงมาก (เช่น Math 750+, EBRW 680+) แต่คะแนน Math อาจจะยังไปไม่ถึงระดับ 780-800 EBA คือเป้าหมายที่ยอดเยี่ยมและสมเหตุสมผลอย่างยิ่ง ที่ซึ่งโปรไฟล์คะแนนของคุณจะมีความโดดเด่นและสามารถแข่งขันได้อย่างเต็มที่
ดังนั้น EBA จุฬาฯ จึงไม่ใช่แค่ “คณะรอง” แต่เป็นคณะอันดับหนึ่งในสายเศรษฐศาสตร์อินเตอร์ และเป็นเป้าหมายที่ชาญฉลาดสำหรับนักเรียนที่มีคะแนนรวมในระดับสูงมาก (1400+) ที่ต้องการเรียนในสภาพแวดล้อมทางวิชาการที่เข้มข้นของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเช่นกัน